งานเสวนาออนไลน์ รายงานสถานการณ์เรือนจำโลก Global Prison Trends 2020 ในภาวะวิกฤติโควิด-19

สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ร่วมกับ องค์กรการปฏิรูปการลงโทษสากล (PRI) จัดงานเปิดตัวรายงานสถานการณ์เรือนจำโลกฉบับปี 2563  (Global Prison Trends 2020) ในรูปแบบเสวนาออนไลน์ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิตัวแทนระดับสูงจากจากองค์ระหว่างประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนนำเสนอสถานการณ์ปัจจุบันของเรือนจำทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมา และเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบาย เพื่อการผลักดันให้เกิดการลดจำนวนผู้ต้องขังแออัดด้วยมาตรการอาญาที่ไม่ใช่การคุมขัง พร้อมกับยกระดับการดูแลสุขภาวะในเรือนจำในช่วงที่สังคม และชุมชนต้องเผชิญวิกฤติโรคระบาดใหญ่โควิด-19 

ทั้งนี้ ความท้าทายในการบริหารจัดการเรือนจำของปี 2020 คือการให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนแก่ผู้ต้องขังในภาวะวิกฤติทางสาธารณสุุุข และรับมือกับวิกฤติโรคระบาดใหญ่ไปพร้อมกัน

 การเสวนาเริ่มต้นด้วยการกล่าวต้อนรับโดย อิลเซ่ บรานดส์ เคริส ผู้ช่วยเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ด้านสิทธิมนุษยชน และหัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติประจำนิวยอร์ค (OHCHR) และ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) วิทยากรที่เข้าร่วมเสวนาได้แก่  โอลิเวีย โรป ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและงานรณรงค์ระหว่างประเทศ องค์กรการปฏิรูปการลงโทษสากล (PRI), ดร.คาริน่า ฟีร์ไรรา บอร์เคส ผู้จัดการโครงการ ประจำองการอนามัยโลกสำนักงานภาคพื้นยุโรป (WHO/Europe), โฆเอล เอร์นานเดซ การ์เซีย ประธานคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐอเมริกาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (IACHR), เดิร์ก ฟาน ซิล สมิท ศาสตราจารย์ภาควิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม, ซาราห์ เบลาล ผู้อำนวยการ และผู้ก่อตั้งองค์กร Justice Project Pakistan (JPP) และดำเนินรายการเสวนาโดย ฟลอเรียน เออร์ไมเนอร์ ผู้อำนวยการองค์กรการปฏิรูปการลงโทษสากล (PRI) และมีผู้เข้าร่วมเสวนาออนไลน์จากทุกภาคส่วนทั่วโลกกว่า 500 คน

สำหรับประเทศไทย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เผยว่า ทาง TIJ ได้รายงานสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ในเรือนจำกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในไทยแล้ว และเล็งเห็นว่าโอกาสนี้น่าจะตอกย้ำแนวคิดการปฏิรูปกระบวนการยุติกรรม และการใช้มาตรการทางเลือกในการบริหารจัดการทั้งระบบ “โรคโควิด-19 ได้ส่งผลต่อพฤติกรรรมของผู้คนรวมไปถึงรูปแบบของอาชญากรรม จึงควรใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงการป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรรมรวมไปถึงปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม เราต้องการเห็นเรือนจำเป็นมาตรการสุดท้ายที่จะถูกนำมาใช้ และหากใช้ก็ควรจะใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ”  ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ กล่าว

 เดิร์ก ฟาน ซิล สมิท ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์ ยังได้เอ่ยถึงนโยบายการใช้โทษคุมขังที่ยาวนานหรือการบังคับใช้โทษจำคุกตลอดชีวิต ว่าสร้างความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตของบุคคลผู้ถูกคุมขังและไม่ต่างจากการลงโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ PRI ต้องการผลักดันการปฏิรูปกระบวนการลงโทษ และพัฒนาเรือนจำให้เป็นสถานบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังในกรอบมนุษยธรรม

 

ในวงเสวนายังได้ชี้ถึงปัญหาการรับรู้ของสังคม โฆเอล เอร์นานเดซ การ์เซีย  ประธานคณะกรรมการภาคีอเมริกันด้านสิทธิมนุษยชน ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของสื่อมวลชนต่อการเปลี่ยนแปลงว่า “สื่อมวลชนควรเสนอข่าวที่เป็นข้อมูลถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริง ทั้งสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำ และสถานการณ์ของเรือนจำที่เป็นจริง  การเสนอข่าวที่เน้นถึงมนุษยธรรม คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังในภาวะเกิดโรคระบาด มากกว่าจะเน้นไปในเชิงประเด็นการเมืองอย่างที่เป็นมา”  

 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เห็นพ้องว่า การสื่อสารกับประชาชนมีความสำคัญ โดยกล่าวว่า “ในประเทศไทย ประชาชนกังวลเกี่ยวกับอันตรายของการปล่อยตัวผู้ต้องขัง แต่ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ที่ TIJ ผลักดันให้มีการปล่อยตัว เป็นผู้ต้องขังที่มีโทษน้อย อยู่ในการคุมขังก่อนชั้นพิจารณา  ผู้ต้องขังสูงอายุ และผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังโดยไม่เหมาะสม  และแม้ว่าพวกเขาจะถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำก่อนพ้นโทษ  แต่ก็ยังมีการควบคุมทางสังคมอยู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารกับประชาชน ให้เข้าใจสถานการณ์ภายในเรือนจำ และเข้าใจผู้ต้องขังอย่างถูกต้อง”

 โดย PRI  และ TIJ มุ่งผลักดันการปฏิรูปการบริหารจัดการภายในเรือนจำและนโยบายเกี่ยวกับมาตรการลงโทษทางอาญาที่มิใช่การคุมขัง เพื่อลดจำนวนผู้ต้องขังและยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งเจ้าหน้าที่ภายในเรือนจำ และตัวผู้ต้องขัง โดยเฉพาะในสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่ยังเป็นภัยคุกคามของคนทั่วโลก