จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้คนต้องใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารมากขึ้นกว่าเดิม Social media กลายเป็นช่องทางหลักในการอัพเดทข่าวสารของคนทุกวัย จากสถิติพบว่าคนไทยกว่า 68% ใช้จ่ายเพื่อรับความบันเทิงบนโลกอินเตอร์เน็ต และ COVID-19ทำให้คนทั่วโลกใช้ Social media เพิ่มขึ้นถึง 43% แต่เหรียญอีกด้านหนึ่งก็พบว่านี่ก็เป็นสถานการณ์ที่ทำให้มีแนวโน้มการเกิดอาชญากรรมในรูปแบบขององค์กรข้ามชาติผ่านโลกออนไลน์มากขึ้นด้วย เช่น ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์  โจรกรรมเจาะระบบเพื่อทำลายข้อมูลผู้อื่น เป็นต้น

ด้วยสถานการณ์ข้างต้น จึงทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างนานาชาติเพื่อการพัฒนา โดยเฉพาะการป้องกันและแก้ไข ปัญหาร่วมสมัย (Contemporary social problems) ซึ่งรวมถึงปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นคล้ายกันในหลายประเทศ นานาชาติรวมถึงไทยกำลังร่วมมือกันในการศึกษาแนวทางในระดับสากลและความยุติธรรมทางอาญาในโลกยุคใหม่ ซึ่งแนวทางแก้ปัญหาที่จำเป็น คือ การความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ หลักฐานเชิงประจักษ์ และแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม

เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น สหประชาชาติจัดการประชุม UN Crime Congress สมัยที่ 14 ร่วมกับเจ้าภาพในประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ สภาพปัญหา กำหนดทิศทาง นโยบาย และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวกับการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ใช้แนวคิดการส่งเสริมการป้องกัน อาชญากรรมทางอาญา ความยุติธรรมทางอาญา และหลักนิติธรรม เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านอาชญากรรมอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูสถานการณ์จากวิกฤต
โควิด-19 ซึ่งแนวโน้มความยุติธรรมทางอาญาในโลกยุคใหม่ จะมุ่งเน้นพัฒนาโดยมีคนเป็นศูนย์กลาง เชื่อมโยงกับการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มากขึ้น

แนวโน้มหลัก 4 ข้อ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของโลกยุคใหม่

ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ ฉายภาพถึงข้อสรุปและแนวโน้มที่ได้จากงาน UN Crime Congress ปฏิญญาเกียวโตว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม (Kyoto declaration on Crime Prevention) เป็นเอกสารสำคัญที่บ่งชี้ถึงสถานการณ์และแนวโน้มของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของโลกแบ่งออกเป็น 4 ประเด็นหลัก

  1. การป้องกันอาชญากรรมโดยอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based crime prevention) มุ่งเน้นการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ผ่านตัวชี้วัด สถิติ และการประเมินผลมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางอย่างรอบด้านและเป็นระบบ เช่น การสร้างกลไกติดตามประเมินผลประสิทธิภาพของตำรวจผ่านตัวเลขการเกิดอาชญากรรมในพื้นที่นั้นว่าลดลงหรือไม่ ประชาชนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นหรือไม่ สามารถชี้วัดได้โดยหลักฐานที่เกิดขึ้นจริง มีกระบวนการวิจัยอย่างเป็นระบบ
  2. กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเชิงบูรณาการ (Integrated Criminal Justice System)
    ผู้ปฏิบัติงานด้านยุติธรรมทั่วโลกตั้งคำถามถึง “ประสิทธิภาพ” ของเครื่องมือในการลงโทษที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผ่านตัวชี้วัด “อัตราการกระทำผิดซ้ำ” (Recidivism rates) เพราะในหลายประเทศยังมีอัตราการกระทำความผิดซ้ำอยู่ในระดับสูง ในที่ประชุมมีความพยายามในการโน้มน้าวประเทศสมาชิกให้พิจารณาถึง “มาตรการทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่การจำคุก” เพื่อสร้างกระบวนการที่มุ่งเน้น “ผลลัพธ์” คือ “คืนคนสู่สังคม” เช่น งานคุมประพฤติ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ หรือการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic monitoring) เป็นต้น

“การจำคุกอาจไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุดในบางกรณี เช่น มีหลายคดีในประเทศไทยที่เราใช้การจำคุกเพื่อลงโทษคนที่ไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรงทั้งที่คนเหล่านี้ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติได้โดยใช้มาตรการคุมประพฤติเท่านั้น การแสวงหาทางเลือกอื่นๆ แทนการจำคุก และไม่กระทบต่อความปลอดภัยของสังคม จึงเป็นแนวโน้มสากลที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่ง TIJ เป็นหนึ่งในองค์กรที่ศึกษามาตรฐานสากล ทำงานวิจัยเกี่ยวกับมาตรการทางเลือกเหล่านี้ จึงเชื่อว่าสามารถช่วยงานในส่วนนี้ได้” ดร. พิเศษ อธิบาย

การส่งเสริมหลักนิติธรรม (Rule of Law) ผ่านวัฒนธรรมแห่งการเคารพกติกา (Culture of Lawfulness) สังคมจะสงบสุขได้ จำเป็นต้องมีหลักนิติธรรมเป็นปัจจัยพื้นฐาน และสังคมนิติธรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการบ่มเพาะ วัฒนธรรมแห่งการเคารพกติกา” (Culture of Lawfulness) แต่จะทำให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม หรือทำให้ประชาชนพึงพอใจกับกติกาที่รัฐใช้อยู่ได้ รัฐก็จะต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ใช้กติกาอยู่ใน “หลักนิติธรรม” ดังนั้น การจะทำให้สังคมมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง ไม่สามารถทำได้โดยการเพิ่มอำนาจของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเท่านั้น แต่ต้องขยายโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมากขึ้นควบคู่กันไปด้วย และการให้ความรู้เรื่องหลักนิติธรรมกับเยาวชน เป็นหนึ่งในแนวทางจะช่วยสร้างสังคมในอนาคตที่มี
ความเข้มแข็ง

การส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบต่าง ๆ (Transnational Organized Crime) ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้รูปแบบอาชญากรรมมีลักษณะ
ข้ามพรมแดน ซับซ้อน และมีความรุนแรงมากขึ้น สวนทางกับ “ต้นทุนในการก่ออาชญากรรม” ที่ลดลง เพราะมีช่องทางออนไลน์ในการก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้น ทำให้การต่อต้านอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ในปัจจุบัน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะอาชญากรรมทางไซเบอร์ เป็นอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบใหม่ ไร้พรมแดน ผู้ก่อเหตุและเหยื่ออาจอยู่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตร อยู่คนละประเทศซึ่งมีข้อจำกัดทางกฎหมายแตกต่างกัน ดังนั้น การต่อสู้กับอาชญากรรมรูปแบบใหม่นี้ จึงต้องรวมไปถึงความร่วมมือในหลายภาคส่วน
(Cross-Sectoral Collaboration) ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม และนักวิชาการ 

หลักนิติธรรมเสริมสร้างความยุติธรรมทางอาญาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 

ดร. พิเศษ เล่าถึงประสบการณ์การเข้าร่วมประชุม UN Crime Congress หลายครั้งที่ผ่านมา
พบว่าในการประชุม 2 ครั้งก่อนหน้านี้ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย และกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ มีพัฒนาการที่แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งด้านองค์ประกอบของผู้ร่วมประชุมที่ขยายใหญ่ขึ้น จากเดิมที่ส่วนมากเป็นหน่วยงานภาครัฐของประเทศต่าง ๆ ตำรวจ ศาล ราชทัณฑ์ ก็ขยายมาสู่หน่วยงานภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหากำไร (NGOs) ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ เข้ามามีบทบาทในการประชุม โดยเชื่อว่ามีเหตุผลมาจากการที่ประเด็นในการหารือถูกขยายไปในบริบทที่ “กว้างขวางขึ้น”  สอดคล้องกับวาระหลักของโลก นั่นคือ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” 

“ในอดีตกระบวนการยุติธรรมทางอาญามีความเป็นเอกเทศสูง ใช้วิชาการนำ ผลักดันผ่าน
ความร่วมมือเท่าที่เป็นไปได้ เช่น การส่งผู้ร้ายความแดน แต่ในการประชุมฯ UN Crime Congress หลายครั้งที่ผ่านมามีทิศทางที่สอดคล้องกับวาระหลักของโลกมากขึ้น โดยผลักดันให้หลักนิติธรรมเข้ามามีบทบาทกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งยังเป็นการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ดร. พิเศษ กล่าว

นอกจากนั้น ผู้อำนวยการ TIJ เห็นว่าประเด็น “การใช้กีฬา เพื่อป้องกันอาชญากรรมในเยาวชน” ถือเป็นอีกประเด็นที่สะท้อนถึงความหลากหลายในที่ประชุม Crime Congress โดย TIJ เป็นอีกหน่วยงานที่สนับสนุนงานด้านเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด และเป็นผู้เสนอ ข้อมติการใช้กีฬาเพื่อการป้องกันอาชญากรรมในเยาวชน ในเวทีการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและ
ความยุติธรรมทางอาญา ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อปี พ.ศ.2562 โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการกีฬาต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 

“เราเชื่อว่ากีฬาเป็นสื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเยาวชน พร้อมไปกับการสอดแทรกทักษะการใช้ชีวิต สามารถนำมาปรับใช้เพื่อลดโอกาสที่เด็กและเยาวชนจะไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้ แม้แต่เด็กที่เคยกระทำผิด กีฬาก็เป็นตัวขับเคลื่อนให้ชีวิตเค้าไปต่อได้ ยกตัวอย่างที่เรามีสโมสรกีฬา BBG (Bonce Be Good) ให้โอกาสเด็กในสถานพินิจไปฝึกซ้อมปิงปองและแบดมินตันอย่างเป็นระบบ มีผู้ฝึกสอนมืออาชีพ ถือเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเด็กเหล่านี้กลายเป็นนักกีฬา เป็นโค้ช หรือเป็นผู้ตัดสินมืออาชีพ นั่นคือการช่วยเหลือเขาแบบตลอดรอดฝั่ง” ดร. พิเศษ กล่าว

มากกว่านั้น ที่ประชุมฯ ยังให้ความสำคัญกับ ‘ผลลัพธ์’ ของการประชุมฯ ที่อยู่ในรูปแบบ ‘ข้อกำหนด’ ที่มีลักษณะเป็นกฎหมายอย่างอ่อนหรือ Soft Law มากขึ้น เช่น ผลลัพธ์จากการผลักดันการนำข้อกำหนดกรุงเทพมาใช้ทั้งในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขเฉพาะกลุ่ม เช่น
กลุ่มคนเปราะบาง ปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ซึ่ง Soft Law เหล่านี้ล้วนมีส่วนส่งเสริม และผลักดันให้บรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน

อนาคตความยุติธรรมทางอาญาของไทย เน้นเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาด้วยนวัตกรรม

ดร. พิเศษ ได้กล่าวว่า ปัจจุบันหน่วยงานรัฐในประเทศไทย มีความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่เป็นองค์รวมมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะพิจารณาประเด็นทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมดำเนินงาน นอกจากนี้ยังเน้นการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ กล่าวโดยสรุป อนาคตยุติธรรมทางอาญาของไทย จะเน้นดำเนินงาน ดังนี้

  1. การทำงานเพื่อป้องกันอาชญากรรม เน้นการดำเนินงานแบบมีหลักฐานเชิงประจักษ์มากขึ้น
  2. เน้นการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เช่น การดึงภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานวิชาการ เพื่อประชุม หารือ แลกเปลี่ยน กำหนดแนวนโยบายที่เหมาะสมในการป้องกัน และ แก้ไขอาชญากรรม รวมถึงการสนับสนุนการวิจ้ย
  3. เน้นความตระหนักให้เกิดแนวปฏิบัติต่อเพศสภาพด้วยความเท่าเทียม เช่น การสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ ๆ ต่อการดูแลผู้ต้องขังหญิง หรือ เด็กติดผู้ต้องขังหญิง โดยการสร้างสภาพแวดล้อมภายในเรือนจำให้เหมาะสม และ การสนับสนุนให้ใช้มาตรการทางเลือกอื่น ๆ แทนการจำคุกในกรณี
    ผู้กระทำผิดกระทำความผิดในคดีเล็กน้อย 
  4. เน้นเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น
    การจำหน่ายสินค้าราชทัณฑ์ ผ่านร้านค้าออนไลน์ใน shopee โดยใช้ตราสินค้า “วันสุข” 
  5. เน้นการดำเนินงานผ่านความร่วมมือพหุภาคี เช่น โครงการกำลังใจ โครงการ Street food สร้างโอกาส ฝึกฝนการทำอาหารให้แก่ผู้ต้องขังที่พ้นโทษแล้ว และกำลังจะพ้นโทษใน 3 เดือน
  6. เน้นการสร้างความเข้าใจกับสังคมภายนอก เพื่อลดการตีตราจากสังคม

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังสามารถพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้สอดคล้องกับความท้าทายอื่น ๆ เพื่อสันติสุขในสังคม ไม่ว่าจะเป็นโมเดลการทำงานรูปแบบ Privatization ในบางบริการ โมเดลธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งรัฐอาจลดบทบาทลงเป็นผู้สนับสนุนและกำกับมาตรฐาน โดยสามารถดำเนินการทดสอบผ่านรูปแบบ Sandbox หรือพื้นที่กำกับดูแลเป็นการเฉพาะ

“กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของโลกและไทยจะมุ่งเน้นพัฒนาโดยเอาคนเป็นศูนย์กลาง เชื่อมโยงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และบูรณาการระหว่างภาคส่วนมากขึ้น ซึ่งนี่ถือเป็นความท้าทายของผู้ปฏิบัติงานด้านยุติธรรมทางอาญาของไทย ดร. พิเศษ กล่าวทิ้งท้าย